ในปี 2025 การออกแบบไฟเป็นมากกว่าแค่การส่องสว่าง แต่ยังช่วยสร้างบรรยากาศและเพิ่มเสน่ห์ให้บ้าน ซึ่งการแต่งบ้านยุคนี้ เน้นแสงสว่างที่สวยงามและตอบโจทย์การใช้งาน ดังนั้น หากคุณกำลังมองหาแรงบันดาลใจ มาลองสำรวจเทรนด์ล่าสุดที่สามารถปรับใช้ได้ทันทีโดยไม่ OUT กันดีกว่า! 1. ระบบไฟอัจฉริยะ (Smart Lighting) ไฟอัจฉริยะยังคงมาแรงในปี 2025 ด้วยการปรับแสงผ่านสมาร์ทโฟนหรือระบบสั่งการเสียง เช่น Alexa หรือ Google Home ซึ่งไฟเส้นอย่าง StripMaster-6 (SM-06) จาก LUMENCRAFT ที่รองรับ RGB/REBW และ Tunable White ก็สามารถเพิ่มลูกเล่นให้บ้านของคุณได้อย่างลงตัวมากขึ้น 2. ดีไซน์มินิมอลหรือซ่อนสายตา การออกแบบไฟที่ซ่อนในเพดาน ผนัง หรือเฟอร์นิเจอร์ กำลังเป็นที่นิยมไม่แพ้กัน เช่น ไฟเส้น Strip Master จาก LUMENCRAFT ที่ให้แสงกระจายตัวได้อย่างสม่ำเสมอ เสริมความโมเดิร์นและเรียบหรูได้ในเวลาเดียว 3. การใช้แสงธรรมชาติผสมแสงไฟ การผสมผสานระหว่างแสงธรรมชาติกับแสงไฟ สามารถช่วยเพิ่มความสวยงามที่ลงตัวได้อย่างไม่น่าเชื่อ เช่น ใช้ไฟที่มีค่า CRI สูง เพื่อให้สีภายในบ้านดูเป็นธรรมชาติ เหมาะกับบ้านที่มีหน้าต่างขนาดใหญ่ รับแสงจากธรรมชาติได้เต็มที่ ช่วยดึงเสน่ห์ให้บรรยากาศในบ้าน ในแต่ละช่วงเวลามีความแตกต่างกัน 4. โทนสีแสงสร้างบรรยากาศ โทนสีไฟมีผลต่ออารมณ์ เช่น Warm White (2700K-3000K) ให้ความอบอุ่น รู้สึกผ่อนคลาย หรือ Daylight (6000K) ให้ความชัดเจน ทำให้เห็นรายละเอียดของวัตถุมากขึ้น LUMENCRAFT มีหลอดไฟหลากโทนสีที่ตอบโจทย์ทุกพื้นที่ในบ้าน 5. ความยั่งยืนและประหยัดพลังงาน การเลือกไฟ LED ที่มีอายุการใช้งานยาวนานและประหยัดพลังงาน เช่น หลอด LED จาก LUMENCRAFT ซึ่งช่วยลดค่าไฟและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การออกแบบไฟในปี 2025 เน้นฟังก์ชันและความสวยงาม ไม่ว่าจะเป็นไฟอัจฉริยะ การซ่อนแสง หรือโทนสีที่เหมาะกับบ้าน หากมองหาโซลูชันแสงไฟที่ครบครัน LUMENCRAFT พร้อมตอบโจทย์ด้วยสินค้าคุณภาพ เพราะทุกพื้นที่ของคุณ คู่ควรกับแสงไฟที่สมบูรณ์แบบที่สุด #LUMENTCRAFT #ComprehensiveLightingCraft
การออกแบบระบบแสงสว่าง เรื่องสำคัญใกล้ตัวที่คุณควรรู้
เคยได้ยินหรือไม่ว่า… อย่าอ่านหนังสือในที่แสงน้อย เพราะจะทำให้สายตาเสีย เนื่องด้วยแสงถือเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตที่จะช่วยมอบแสงสว่าง ทำให้มองเห็นสิ่งต่างๆ ชัดเจนยิ่งขึ้น ประโยชน์ของแสงสว่างไม่ได้มีเพียงเท่านี้ โทนของแสงยังสามารถสร้างบรรยากาศที่ดีในสถานที่ที่แตกต่างกันออกไปได้อีกด้วย ทั้งนี้ แสงที่ดีต้องไม่ใช่เพียงแสงที่ให้ความสว่างเท่านั้น แต่จะต้องทำให้ผู้ใช้งานเกิดความสบายตาและสามารถมองเห็นได้อย่างเต็มประสิทธิภาพด้วย ด้วยเหตุนี้ การออกแบบระบบแสงสว่าง (Lighting Design) จึงมีมาเพื่อออกแบบแสงสว่างในแต่ละพื้นที่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด การออกแบบระบบแสงสว่างสำคัญต่อการสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมและมีคุณภาพสำหรับทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน สำนักงาน โรงแรม ห้างสรรพสินค้า หรือแม้กระทั่งพื้นที่กลางแจ้ง เช่น สวนสาธารณะหรือถนนในเมือง ระบบแสงสว่างที่ดีจะช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้งานหรือผู้ที่อยู่ในพื้นที่นั้น ทั้งยังมีผลต่อการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การประหยัดค่าใช้จ่าย และการเพิ่มคุณค่าทางธุรกิจอีกด้วย ในบทความนี้ เราจึงอยากพามาสำรวจการออกแบบระบบแสงสว่างในเชิงลึกยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความหมายหรือประเภทของการออกแบบระบบแสงสว่าง ตลอดจนมาตรฐาน ไปจนถึงวิธีการออกแบบระบบแสงสว่างในเบื้องต้น พร้อมแล้วไปสำรวจกันเลย ความหมายและความสำคัญของการออกแบบระบบแสงสว่าง การออกแบบระบบแสงสว่าง (Lighting Design) คือวิธีการคำนวณ วางแผน เพื่อหาค่าความส่องสว่างที่เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ ซึ่งการออกแบบระบบแสงสว่างไม่ได้มีเพียงแค่การคำนวณความสว่างจากแหล่งกำเนิดแสงเท่านั้น แต่จะต้องคำนวณควบคู่ไปกับการคำนึงถึงผลของการสะท้อนของแสงไปยังพื้น ผนัง เพดาน โทนสีที่ใช้ก็ต้องสอดคล้องกับมาตรฐานแสงสว่างในแต่ละพื้นที่ด้วย ทั้งยังมีรายละเอียดที่ต้องคำนึงและคำนวณให้รอบด้าน การออกแบบระบบแสงสว่างจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เป็นจุดเริ่มต้นของการออกแบบระบบไฟฟ้าและจะมีการออกแบบเป็นลำดับแรกเสมอ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อทำให้การทำงานในที่แสงน้อยดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยสร้างความปลอดภัย และสร้างบรรยากาศที่เหมาะสมสำหรับการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ประเภทของการออกแบบระบบแสงสว่าง การออกแบบระบบแสงสว่างแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ การออกแบบระบบแสงสว่างภายในอาคาร และการออกแบบระบบแสงสว่างภายนอกอาคาร การออกแบบระบบแสงสว่างภายในอาคาร การออกแบบระบบแสงสว่างภายในอาคาร คือ การเน้นให้แสงสว่างที่เหมาะสมและปรับได้ในทุกพื้นที่ของอาคาร ไม่ว่าจะเป็นอาคารที่อยู่อาศัย อาคารสํานักงาน อาคารพาณิชย์ หรืออาคารอุตสาหกรรม เพื่อให้มีแสงที่เพียงพอเหมาะสมสำหรับแต่ละห้อง และเพื่อให้การทำงานหรือการทำกิจกรรมในอาคารนั้นๆ สะดวกสบายและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เช่น การให้แสงสว่างสำหรับการทำงานในห้องประชุมหรือการให้แสงสว่างอันอบอุ่นในห้องพัก การออกแบบระบบแสงสว่างภายนอกอาคาร การออกแบบระบบแสงสว่างภายนอกอาคาร คือ การให้แสงสว่างที่สอดคล้องและเป็นไปตามสภาพแวดล้อมภายนอก โดยจะเน้นไปที่การประดับประดาหรือการสร้างจุดเด่นแก่สถาปัตยกรรมของอาคาร เช่น การใช้แสงสว่างเพื่อเชิดชูลักษณะเด่นของการออกแบบอาคารในยามค่ำคืน หรือการใช้แสงสว่างเพื่อสร้างบรรยากาศผ่อนคลายให้แก่พื้นที่สวนหน้าบ้าน ระบบส่องสว่าง การออกแบบระบบแสงสว่างที่ดีต้องเริ่มจากการทำความเข้าใจในพื้นที่และสภาพแวดล้อมที่จะส่งผลต่อแสงสว่างอย่างเป็นระบบ ซึ่งระบบส่องสว่างสามารถแบ่งออกได้ 2 ระบบ ดังนี้ ระบบการให้แสงสว่างหลัก (Primary Lighting System) ระบบการให้แสงสว่างหลักคือการออกแบบแสงสว่างให้มีความส่องสว่างเพียงพอตามมาตรฐานเพื่อการใช้งานในแต่ละพื้นที่ มีอยู่ด้วยกัน 3 วิธี คือ 1. การให้แสงสว่างทั่วพื้นที่ (General Lighting) การให้แสงสว่างทั่วพื้นที่คือแสงสว่างที่มาจากโคมไฟที่ติดตั้งอย่างกระจัดกระจายบนเพดานอย่างสม่ำเสมอ ถือเป็นวิธีการให้แสงสว่างที่ได้รับความนิยมและพบเห็นได้ทั่วไป ข้อดีคือสามารถออกแบบได้ง่ายเพราะไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงปัจจัยเรื่องตำแหน่งทำงาน แต่มีข้อเสียคือสิ้นเปลืองพลังงานสูง การให้แสงสว่างด้วยวิธีนี้มักพบเห็นได้ในการออกแบบแสงสว่างสำหรับทางเดิน ห้องทำงานหรือห้องเรียนที่มีโต๊ะวางอยู่ทั่วห้อง 2. การให้แสงสว่างเฉพาะที่ (Local Lighting) การให้แสงสว่างเฉพาะที่คือการออกแบบโดยการให้แสงสว่างเสริมให้พื้นที่นั้นๆ สว่างเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเน้นให้แสงสว่างเฉพาะตำแหน่งและทิศทางที่ต้องการ เช่น โคมไฟเหนือโต๊ะทำงาน ซึ่งการออกแบบประเภทนี้จะช่วยประหยัดพลังงานได้มากเพราะเป็นการควบคุมความสว่างเฉพาะที่ 3. การให้แสงสว่างทั่วพื้นที่และเฉพาะที่ (General and Local Lighting) การให้แสงสว่างทั่วพื้นที่และเฉพาะที่คือวิธีการผสมผสานการออกแบบให้สอดคล้องกับการทำงานในแต่ละพื้นที่ โดยเป็นการผสมผสานระหว่างแสงสว่างทั่วพื้นที่และแสงสว่างเฉพาะตำแหน่ง จึงประหยัดพลังงานกว่าการให้แสงสว่างทั่วพื้นที่ เหมาะสำหรับใช้กับพื้นที่สำนักงาน โรงแรม เป็นต้น ระบบการให้แสงสว่างรอง (Secondary Lighting System) ระบบการให้แสงสว่างรองคือการออกแบบแสงสว่างเพื่อความสวยงาม ความสบายตา หรือเพื่อให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกสำหรับพื้นที่นั้น ซึ่งประกอบไปด้วย 1. แสงสว่างแบบส่องเน้น (Accent Lighting) แสงสว่างแบบส่องเน้นคือแสงสว่างที่ใช้เพื่อให้วัตถุสิ่งของหรือพื้นที่หนึ่งโดดเด่นขึ้นมา ช่วยดึงดูดความสนใจจากผู้ที่พบเห็น เช่น การให้แสงสว่างไปที่ผลงานการออกแบบชิ้นหนึ่งเพื่อให้ผลงานนั้นมีความน่าสนใจมากขึ้น โดยเราสามารถใช้โคมไฟ Track Light หรือ Spot Light สำหรับแสงสว่างประเภทนี้ได้เพราะเป็นโคมไฟที่ให้แสงที่พุ่งตรง เน้นความสว่างเฉพาะจุด และช่วยเน้นวัตถุให้มีความโดดเด่นขึ้นกว่าจุดอื่น ๆ 2. แสงสว่างแบบเอฟเฟค (Effect Lighting) แสงสว่างแบบเอฟเฟคสร้างขึ้นเพื่อสร้างอารมณ์หรือบรรยากาศภายในห้อง เช่น แสงเอฟเฟคที่ใช้ในงานเฉลิมฉลองหรือการเล่นแสงสีในร้านค้าหรือคลับ รวมถึงแสงภายนอกอาคาร แสงว่างแบบเอฟเฟคทั่วไปตามที่เห็นจะเป็นแสงไฟประเภท Facade ซึ่งจะช่วยเพิ่มสีสันและเน้นอัตลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมของตัวอาคารนั้น ๆ ได้เป็นอย่างดี 3. แสงสว่างตกแต่ง (Decorative Lighting) แสงสว่างตกแต่งคือแสงสว่างที่ใช้สำหรับการตกแต่งห้อง ช่วยเสริมความงดงามน่าอยู่ภายในห้อง โดยมักมาพร้อมกับโคมไฟหรูหราหรือชิ้นงานทันสมัย ทำหน้าที่สร้างจุดสนใจภายในห้อง โดยอาจจะมีการผสมผสานแสงสว่างแบบตกแต่งควบคู่ไปกับเทคนิค Indirect Light ในการออกแบบด้วย 4. แสงสว่างงานสถาปัตย์ (Architectural Lighting) แสงสว่างงานสถาปัตย์วางแผนและติดตั้งเพื่อเน้นให้แสงสว่างไปที่การออกแบบและโครงสร้างของอาคาร จุดประสงค์ของแสงสว่างงานสถาปัตย์คือการสร้างลักษณะเด่นของอาคารและสร้างความสว่างที่เหมาะสมในพื้นที่ เช่น การให้แสงไฟจากหลืบ การให้แสงจากบังตา หรือการให้แสงจากที่ซ่อนหลอด 5. แสงสว่างตามอารมณ์ (Mood Lighting) แสงสว่างตามอารมณ์ออกแบบมาเพื่อสร้างบรรยากาศหรืออารมณ์ภายในห้องตามที่เราต้องการ เช่น การใช้แสงสีอ่อนในห้องพักเพื่อสร้างความสงบสุขและผ่อนคลาย อีกหนึ่งเคล็ดลับคือการเลือกใช้ Dimmer Switch ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับปรับลดระดับความสว่างของหลอดไฟให้เป็นไปตามต้องการ Dimmer Switch จะช่วยสร้างบรรยากาศของแสงให้ได้ระดับความส่องสว่างตามการใช้งานในแต่ละห้องดังที่คุณปราถนาได้ มาตรฐานของระบบแสงสว่าง สิ่งที่ขาดไม่ได้ของการออกแบบแสงสว่าง คือ จะต้องออกแบบให้มีระดับความส่องสว่างสอดคล้องกับมาตรฐานและไม่น้อยกว่าที่กฎหมายกำหนด สำหรับประเทศไทย มาตรฐานกำหนดค่าความส่องสว่างขั้นต่ำที่ได้รับการยอมรับในทางวิศวกรรมสำหรับพื้นที่ใช้งานแต่ละประเภท คือ “มาตรฐานจากสมาคมไฟฟ้าแสงสว่างแห่งประเทศไทย” หรือ TIEA ซึ่งมาตรฐาน TIEA นี้ได้อ้างอิงตามมาตรฐานสากลของ CIE (Commission International del’ Eclairage) วิธีการคํานวณแสงสว่าง การออกแบบระบบแสงสว่างต้องคำนึงถึงการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงความสว่างที่เหมาะสมในพื้นที่ที่จะใช้งาน เพื่อสร้างระบบแสงสว่างที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ใช้งานพร้อมไปกับการสร้างสภาพแวดล้อมที่น่าอยู่ โดยวิธีการคํานวณแสงสว่างในปัจจุบัน มีอยู่ด้วยกัน 2 วิธีหลักๆ ดังนี้ วิธีการคำนวณแบบลูเมนท์ (Lumen Method) วิธีการคำนวณแบบลูเมนท์ คือ การคำนวณค่าปริมาณความส่องสว่างทั้งหมดของห้องตามมาตรฐาน IES (Illumination Engineering Society) เพื่อหาปริมาณจำนวนดวงโคมที่ต้องติดตั้งภายในห้องนั้น ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 วิธีย่อยๆ ได้ดังนี้ 1. Zonel Cavity Method Zonel Cavity Method คือการคำนวณค่าฟลักซ์ส่องสว่างรวมของห้องจากหลายตัวแปร นั่นก็คือ ค่าปริมาณความส่องสว่างตามมาตรฐานซึ่งมีหน่วยเป็นลักซ์ (LUX) พื้นที่ห้อง ค่าสัมประสิทธิ์การใช้ประโยชน์ ค่าความเสื่อมของหลอดไฟ และค่าความเสื่อมจากความสกปรกของดวงโคม เพื่อนำมาคำนวณหาปริมาณหลอดไฟหรือโคมไฟสำหรับห้องที่ต้องการจะออกแบบ 2. Room Index Method Room Index Method เป็นวิธีการคำนวณที่คล้ายกับวิธีแรก ซึ่งต่างกันตรงที่วิธีนี้จะเปลี่ยนตัวแปรจากค่าความเสื่อมมาเป็นค่าการบำรุงรักษา โดยผลลัพธ์ที่ออกมาจะเป็นค่าฟลักซ์ส่องสว่างที่จะนำไปใช้คำนวณหาปริมาณหลอดไฟและโคมไฟที่ต้องใช้เช่นเดียวกัน วิธีคำนวณแบบจุดต่อจุด (Point By Point Method) วิธีคำนวณแบบจุดต่อจุด คือ การคำนวณหาความส่องสว่างทีละจุดๆ ตามที่ต้องการ ซึ่งจะเน้นไปที่พื้นที่นั้นๆ โดยเฉพาะ ซึ่งตัวแปรสำคัญสำหรับการคำนวณด้วยวิธีนี้คือ กราฟกระจายแสงของโคม เนื่องจากเป็นการคำนวณบนพื้นที่เล็กๆ แบบจุดใดจุดหนึ่งบนพื้นงาน ซึ่งกราฟกระจายแสงของโคมจะแสดงค่าความเข้มของแสงที่กระจายไปในแต่ละทิศแต่ละทางของหลอดหรือดวงโคมนั้นๆ นั่นเอง เมื่อได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับการออกแบบระบบแสงสว่างจนถึงย่อหน้านี้ จะเห็นได้ว่า การออกแบบแสงสว่างค่อนข้างมีความซับซ้อนและอาศัยความเชี่ยวชาญในระดับหนึ่ง เนื่องจากการออกแบบแสงสว่างไม่ได้คำนึงถึงเพียงในแง่ประสิทธิภาพและความสอดคล้องตามมาตรฐานเท่านั้น แต่ยังต้องคำนึงถึงการออกแบบ การเลือกใช้แหล่งกำเนิดแสงหรือหลอดไฟที่ประหยัดพลังงาน แสงสว่างที่เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ ตลอดจนการบำรุงรักษา การออกแบบแสงสว่างด้วยตนเองจึงอาจไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้น การเลือกทีมออกแบบแสงสว่างมืออาชีพ มีความรู้และประสบการณ์ จึงถือเป็นทางออกที่จะช่วยให้เราสามารถเบาใจให้กับเรื่องนี้ไปได้อย่างแน่นอน Lumencraft Lighting คือผู้เชี่ยวชาญด้านระบบแสงสว่างในประเทศไทยที่มาพร้อมผลิตภัณฑ์ด้านแสงสว่างอันหลากหลายและมีเอกลักษณ์ พร้อมด้วยประสบการณ์ที่มีมาอย่างยาวนาน เรายังมีทีมผู้เชี่ยวชาญที่จะช่วยเนรมิตให้แสงสว่างภายในพื้นที่ของคุณมีความเหมาะสม สวยงาม โดดเด่นไม่เหมือนใคร ติดต่อเราวันนี้เพื่อให้เราช่วยดูแลและเลือกแสงสว่างที่ตอบโจทย์การใช้งานและความต้องการของคุณมากที่สุด
ตีโจทย์ “ไฟดาวน์ไลท์” ทำไม Interior ยุคใหม่เลือกใช้
‘แสงสว่าง’ และการเลือกใช้ ‘ไฟ’ ถือเป็นเรื่องจำเป็นต่อการตกแต่งในบ้าน เพราะไม่ใช่แค่สร้างเสริมประสบการณ์มองเห็นให้ชัดเจน แต่ยังช่วยแต่งแต้มบรรยากาศภายในบริเวณให้สวยงามมากขึ้นอีกด้วย ในบทความนี้จึงขอมาแนะนำให้ทุกท่านรู้จักกับไฟยอดฮิตแห่งยุค อย่าง “ไฟดาวน์ไลท์” ว่าคืออะไร? ควรติดไฟดาวน์ไลท์ แบบไหนดี? “ไฟดาวน์ไลท์” คืออะไร? ไฟดาวน์ไลท์ (downlight) คือ โคมไฟที่ใช้หลักการติดบนฝ้าหรือเพดานส่องลงมาด้านล่างให้แสงสว่างกระจายครอบคลุมบริเวณนั้น (Ambient Lighting) หรือเฉพาะจุด (Accent lighting) เสริมลูกเล่นในการแต่งแสงได้มากกว่าโคมไฟธรรมดาทั่วไป สามารถตกแต่งได้ทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นห้องแบบไหนหรือขนาดเท่าไหร่ก็ตาม ด้วยความที่ขนาดของโคมไฟดาวน์ไลท์มักมีขนาดกะทัดรัด แต่ดีไซน์ความละมุนของแสงและเงา รวมถึงกำหนดค่าความสว่างตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างลงตัว เลือกไฟดาวน์ไลท์แบบไหนให้โดนใจตอบโจทย์การใช้งาน หลังจากทำความเข้าใจแล้วว่า ไฟดาวน์ไลท์ คืออะไร หลายคนก็คงจะพอนึกภาพออก แต่จะบอกว่า ไฟดาวน์ไลท์ไม่ได้มีแบบเดียว ดังนั้น เพื่อให้เลือกใช้งานได้ตรงใจตอบโจทย์การใช้งานมากขึ้นเลยขอมาแนะนำการเลือกไฟดาวน์ไลท์กัน 1) ศึกษาประเภทของไฟดาวน์ไลท์ สิ่งแรกก่อนตัดสินใจเลือกซื้อไฟดาวน์ไลท์คือ ควรศึกษาประเภทของไฟดาวน์ไลท์ว่า มีประเภทใดบ้าง และเลือกไฟดาวน์ไลท์ แบบไหนดีตอบโจทย์การใช้งานแบบไหน เช่น – ไฟดาวน์ไลท์ฝังฝ้า หนึ่งในไฟดาวน์ไลท์ติดฝ้าที่ได้รับความนิยมสูงสุดสำหรับตกแต่งห้อง คือ ไฟดาวน์ไลท์ฝังฝ้า โดยไฟดาวน์ไลท์ประเภทนี้จะติดตั้งแบบซ่อนตัวอยู่บนฝ้าเพดานและจะเห็นเฉพาะส่วนบริเวณหน้าโคมขนานราบไปกับเพดานดูกลมกลืนไปกับฝ้า สามารถใช้งานได้หลากหลาย เพียงแค่ต้องระวังการติดตั้งบริเวณฝ้าหรือวัสดุที่สามารถเจาะฝังได้เท่านั้น ไม่เหมาะกับการติดบนเพดานปูนเปลือยเพราะจะเจาะปูนและเดินสายไฟได้ยากมากๆ – ไฟดาวน์ไลท์แบบติดลอย ไฟดาวน์ไลท์แบบติดลอยคือไฟดาวน์ไลท์ที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กับไฟดาวน์ไลท์ฝังฝ้า ผู้ใช้งานมองเห็นตัวโคมได้อย่างชัดเจนหลังจากติดตั้ง นิยมใช้เป็นไฟหลัก และด้วยผู้ใช้งานต้องเห็นตัวโคมจึงมีรูปทรงและขนาดที่หลากหลายเพื่อเพิ่มความน่าสนใจให้แก่สถานที่ – ไฟดาวไลท์แบบห้อยเพดาน ไฟดาวไลท์แบบห้อยเพดาน เป็นแบบที่ผู้ใช้งานนิยมติดไฟดาวน์ไลท์ โดยดูจากความสวยงามและรูปทรงที่กลมกลืนไปกับสไตล์ของพื้นที่เป็นหลัก ตัวโคมเน้นให้โดดเด่น ติดตั้งแบบมีสายห้อยลงมาจากฝ้าเพดาน นอกจากดีไซน์โคมที่หลากหลายแล้ว รูปแบบของแสงก็หลายหลายเช่นกัน เพื่อใช้ตกแต่งพร้อมกับให้ฟังก์ชั่นส่องสว่างที่ครอบคลุมไปพร้อมๆ กัน – ไฟดาวไลท์แบบฝังกึ่งลอย ไฟดาวไลท์แบบฝังกึ่งลอย จะฝังอยู่ในฝ้าเพดานและมีส่วนหน้าโคมยื่นออกมาเล็กน้อย สามารถติดตั้งได้แม้มีเงื่อนไขข้อจำกัดของพื้นที่ใต้ฝ้า เหมาะสำหรับบ้านหรือโครงการที่อยากให้ฝ้าเพดานมีลูกเล่น เน้นส่องสว่างพร้อมตกแต่งไปในตัว 2) อุณหภูมิสี ไฟดาวน์ไลท์มีตั้งแต่แสงโทนอุ่นไปจนถึงแสงสีขาวนวล แต่ปกติจะแนะนำให้ใช้สีขาวสว่างและเย็นสำหรับห้องทำงาน เช่น ห้องครัวและห้องซักรีด แต่ในพื้นที่ส่วนตัว เช่น ห้องนอนและห้องอ่านหนังสือ ไฟดาวน์ไลท์ที่ให้ความอบอุ่นเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า หากคุณกำลังมองหาอุณหภูมิแสงที่ดีรอบด้าน ไฟ 4000K เป็นตัวเลือกที่ดีในทุกด้าน ให้ลุคที่ดูสะอาดตาแต่ยังคงให้ความอบอุ่นที่ไม่แยงตา 3) ลูเมน เมื่อเลือกดาวน์ไลท์ตัวเลือก LED จะเป็นความสมดุลระหว่างประสิทธิภาพ (วัตต์) และความสว่าง (ลูเมน) ตัวอย่างเช่น หากคุณมักจะใช้หลอดไส้ขนาด 60 วัตต์ ตอนนี้คุณอาจต้องการเลือกดาวน์ไลท์ LED ที่ใช้กำลังไฟ 8 ถึง 12 วัตต์ และมีระดับลูเมนที่ 800 สำหรับการส่องสว่างในปริมาณที่เท่ากัน 4) องศาการกระจายแสงของไฟดาวน์ไลท์ แล้วไฟดาวน์ไลท์แบบฝัง ส่วนใหญ่จะมีมุมของลำแสง 45° แต่หลอดไฟธรรมดาจะมีมุมลำแสง 360° สำหรับไฟดาวน์ไลท์ เราแนะนำให้เลือกไฟที่มีมุมของลำแสงกว้างกว่าประมาณ 60° ซึ่งช่วยให้ได้แสงที่นุ่มนวลและกระจายแสงสำหรับห้องต่างๆ เช่น ไฟดาวน์ไลท์ ห้องนอน เป็นต้น 5) ดีไซน์หลอดไฟดาวน์ไลท์ นอกจากการใช้งานแล้วดีไซน์หน้าตาของหลอดไฟดาวน์ไลท์ต้องสอดคล้องกับการออกแบบตกแต่งภายในพื้นที่บริเวณนั้นด้วยเหมือนกัน เพื่อเพิ่มความสวยงาม หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกคนที่กำลังมองหาไฟส่องลงด้านล่างแบบไฟดาวน์ไลท์หรือกำลังจะรีโนเวท/ตกแต่งพื้นที่ในบ้านหรือในร้านใหม่ให้บรรยากาศสวยละมุนอบอุ่นกว่าที่คิด อย่าพลาดที่จะลองมองหาไฟดาวน์ไลท์มาแต่งแต้มความงามภายในบริเวณนั้น รับรองว่าจะสร้างบรรยากาศที่ดีให้กับพื้นที่นั้นๆ ได้แน่นอน และอย่าลืมแวะชมสินค้าจาก Lumencraft Lighting เราคือผู้เชี่ยวชาญและจำหน่ายอุปกรณ์หลอดไฟแบบครบวงจร ด้วยประสบการณ์ในการทำงานทั้งโปรเจ็คเล็กหรือใหญ่ หากคุณกำลังมองหาผู้เชี่ยวชาญด้านการดีไซน์ไฟในพื้นที่พาณิชย์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นร้านค้า โชว์รูม ออฟฟิศ ร้านอาหาร ที่พัก โรงแรม รีสอร์ท ฯลฯ ติดต่อผู้เชี่ยวชาญของเราได้เลย เราพร้อมให้บริการคุณอย่างเต็มที่
ข้อดีของโคมไฟดาวน์ไลท์ LED เมื่อเทียบกับไฟแบบดั้งเดิม
หลอดไฟ หรือ โคมไฟแบบดั้งเดิมคืออะไร? ก่อนที่โคมไฟดาวน์ไลท์ LED จะได้รับความนิยม หลอดไฟที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในอดีตมีหลายประเภท เช่น ไฟเหล่านี้มีข้อจำกัดทั้งในเรื่อง การใช้พลังงาน อายุการใช้งาน และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จึงทำให้ไฟ LED กลายเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าและได้รับความนิยมมากขึ้น โคมไฟดาวน์ไลท์ LED ดีกว่าไฟแบบดั้งเดิมอย่างไร? โคมไฟเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยสร้างบรรยากาศให้กับพื้นที่ โคมไฟดาวน์ไลท์ และไฟเส้น LED กำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก เนื่องจากมีประสิทธิภาพที่เหนือกว่าไฟแบบดั้งเดิมในหลายด้าน 1. ประหยัดพลังงานมากขึ้น โคมไฟดาวน์ไลท์ LED ใช้พลังงานน้อยกว่าไฟแบบเดิมถึง 50-80% แต่ให้ความสว่างสูงกว่า เช่น Downlight รุ่น FLIN, NOVA และ AVA จาก LUMENCRAFT ใช้เทคโนโลยีที่ช่วยลดการใช้ไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2. อายุการใช้งานยาวนานกว่า ไฟ LED มีอายุการใช้งานเฉลี่ย 50,000 ชั่วโมง ซึ่งมากกว่าหลอดไส้หรือหลอดฟลูออเรสเซนต์หลายเท่า ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนหลอดไฟบ่อย ๆ 3. แสงสว่างที่สบายตาและลดแสงแยงตา ไฟ LED ให้แสงที่สม่ำเสมอและสามารถเลือกอุณหภูมิสีได้ เช่น Warm White, Cool White และ Daylight ทำให้ปรับใช้ได้ตามบรรยากาศที่ต้องการ โดยเฉพาะ รุ่น AVA ที่ออกแบบให้ลดแสงแยงตา เหมาะกับพื้นที่ที่ต้องการความผ่อนคลาย 4. ดีไซน์สวยงามและติดตั้งง่าย โคมไฟดาวน์ไลท์ LED มีดีไซน์ที่บางและเรียบง่าย ทำให้ติดตั้งได้กับทุกสไตล์บ้าน เช่น รุ่น FLIN และรุ่น AVA ที่ออกแบบมาให้มีความเรียบหรู ดูโมเดิร์น หรือ รุ่น NOVA ที่สามารถกระจายแสงได้อย่างมีประสิทธิภาพ 5. เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไฟ LED ไม่มีสารปรอทและช่วยลดการปล่อยความร้อน ทำให้เป็นตัวเลือกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและช่วยลดภาระค่าไฟในระยะยาว โคมไฟดาวน์ไลท์ LED เป็นตัวเลือกที่ดีกว่าไฟแบบดั้งเดิม ทั้งในเรื่องของ การประหยัดพลังงาน อายุการใช้งานที่ยาวนาน ความสบายตา และดีไซน์ที่ทันสมัย หากคุณกำลังมองหาโคมไฟดาวน์ไลท์คุณภาพดี FLIN, NOVA และ AVA จาก LUMENCRAFT คือตัวเลือกที่ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน #LUMENTCRAFT #ComprehensiveLightingCraft
เทคนิคการออกแบบไฟแต่งร้านอาหาร ที่ทำให้ลูกค้าสั่งอาหารมากขึ้น 30%
การออกแบบไฟในร้านอาหารมีผลต่อความรู้สึกของลูกค้าโดยตรง ไฟแต่งร้านที่ดีสามารถเพิ่มยอดขายได้ถึง 30% มาดูเทคนิคการออกแบบไฟให้เหมาะสม เพื่อดึงดูดลูกค้าและกระตุ้นความอยากอาหาร
ข้อดีของโคมไฟดาวน์ไลท์ LED เมื่อเทียบกับไฟแบบดั้งเดิม
โคมไฟดาวน์ไลท์ LED เป็นตัวเลือกที่เหนือกว่าไฟแบบดั้งเดิม ทั้งในเรื่องของความประหยัดพลังงาน อายุการใช้งานที่ยาวนาน และดีไซน์ที่ทันสมัย มาดูกันว่าทำไมควรเปลี่ยนมาใช้ไฟ LED
ไฟเส้น LED กับ 5 วิธีเพิ่มความสวยงามในห้องนั่งเล่นของคุณ
เปลี่ยนห้องนั่งเล่นให้สวยทันสมัยด้วยไฟเส้น LED และ 5 เทคนิคการติดตั้งระบบไฟที่จะเพิ่มบรรยากาศให้บ้านของคุณ พร้อมคำแนะนำจาก LUMENCRAFT
เทรนด์ 2025 ในการออกแบบไฟสำหรับแต่งบ้านสมัยใหม่
เตรียมบ้านของคุณให้พร้อมกับเทรนด์การออกแบบไฟปี 2025 ที่จะยกระดับการแต่งบ้านสมัยใหม่ ทั้งแนวคิดระบบแสงไฟอัจฉริยะ ดีไซน์มินิมอล และเทคนิคที่สร้างบรรยากาศในทุกพื้นที่
6 ไอเดียตกแต่งบ้านให้ทันสมัยด้วยโคมไฟสไตล์โมเดิร์น
เปลี่ยนบรรยากาศทั้งในและนอกบ้านคุณให้โดดเด่นด้วย 6 ไอเดียตกแต่งบ้านด้วยโคมไฟโมเดิร์น เทคนิคที่จะช่วยสร้างความโดดเด่นและสวยงามไปในทุกมุมบ้าน
เทคนิคการเลือกไฟ LED เปลี่ยนพื้นที่ให้สว่างใสด้วยไฟที่เหมาะสม
ไขข้อข้องใจเกี่ยวกับไฟ LED พร้อมค้นพบเคล็ดลับการเลือกไฟ LED ที่ประหยัดพลังงานและเหมาะสมกับทุกการใช้งานผ่านบทความนี้!