เทคนิคการเลือกไฟ LED เปลี่ยนพื้นที่ให้สว่างใสด้วยไฟที่เหมาะสม

ปฏิเสธไม่ได้ว่าไฟส่องสว่างได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญของการใช้ชีวิตสำหรับคนยุคปัจจุบันไปแล้ว ทั้งการสร้างความสะดวกสบายมองเห็นสิ่งรอบตัวชัดเจนในยามค่ำคืน หรือให้แสงสว่างบริเวณพื้นที่มืดทึบ เพิ่มความปลอดภัย ลดโอกาสเกิดเหตุไม่คาดฝัน แทบทุกพื้นที่ทั่วโลกจึงมีการติดตั้งและใช้งานไฟกันอย่างแพร่หลายทดแทนการให้แสงสว่างในรูปแบบอื่นไม่ว่าจะเป็นหลอดไฟในบ้าน หลอดไฟคอนโด ไฟออฟฟิศ ฯลฯ อย่างไรก็ตามประเภทไฟที่ได้รับความนิยมมากสุดในยุคนี้ต้องยกให้กับ “ไฟ LED” จึงขอพาทุกคนมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับหลอดไฟดังกล่าวอย่างละเอียดทุกด้านกันเลย

ไฟ LED คืออะไร แตกต่างจากไฟทั่วไปอย่างไร

ไฟ LED คืออะไร

ไฟ LED สามารถให้แสงสว่างซึ่งประกอบด้วยคลื่นความถี่เดียวและมีเฟสแบบต่อเนื่องกัน แค่มีกระแสไฟเพียงเล็กน้อยก็สามารถกระจายแสงดังกล่าวออกมาได้ทันที จึงนิยมนำไปติดตั้งกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลายชนิดเพื่อใช้เป็นไฟแสดงสถานะ เช่น สัญญาณไฟจราจร ป้ายไฟสัญญาณ จอภาพยนตร์ จอทีวี ไฟท้ายรถยนต์ ฯลฯ แต่ส่วนใหญ่ผู้คนจะคุ้นเคยกับการนำมาใช้งานในหลอดไฟ LED ซึ่งมีหลากดีไซน์ หลายรูปทรง ให้เลือกสรรกันตามความชอบ

ไฟ LED ผลิตขึ้นโดยใช้สารกึ่งตัวนำ (Semiconductor) 2 ชนิด วางติดกัน แบ่งเป็นส่วนขั้วบวกและส่วนขั้วลบ ขณะที่จุดเชื่อมของสารกึ่งตัวนำทั้ง 2 ขั้วจะเรียกว่า P-N Junction เมื่อใดก็ตามหากมีกระแสไฟไหลผ่านสารกึ่งตัวนำพร้อมกัน 2 ขั้ว บวกกับอิเล็กตรอนอิสระด้านขั้วลบวิ่งไปยังขั้วบวก แสงสว่างจากไฟ LED ก็จะเกิดขึ้น

เรื่องของสีจากไฟไม่ว่าจะเป็นสีแดง เขียว ส้ม และน้ำเงิน ที่แตกต่างกันมาจากสารตั้งต้นในการนำมาใช้สำหรับทำเป็นสารกึ่งตัวนำ ได้แก่

  • แสงสีแดง ส้ม เกิดจากสารตั้งต้นประเภท Aluminium, Indium, Gallium Phosphorus
  • แสงสีฟ้า เกิดจากสารตั้งต้นประเภท Indium, Gallium and Nitrogen

มาถึงตรงนี้หลายคนอาจเกิดข้อสงสัยว่า แล้วไฟ LED เกิดขึ้นได้ยังไงในเมื่อแสงที่ออกมาเป็นสีต่าง ๆ คำตอบคือ หลังจากที่นักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นนามว่า Shuji Nakamura สามารถทำให้ไฟ LED เปล่งแสงน้ำเงิน (สีฟ้า) ออกมาได้แล้ว จากเดิมที่มีแค่สีแดง เขียว ส้ม ก็มีการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนในที่สุดก็ออกมาเป็นวิธีดังนี้

  • ใช้แม่สีทั้ง 3 สี (แดง เขียว น้ำเงิน) ผสมกันจนไฟ LED เปล่งสีขาวออกมา
  • การเคลือบแสงสีฟ้าจากไฟ LED ด้วยสารฟอสเฟอร์สีเหลืองจนเกิดเป็นแสงสีขาว (เป็นวิธีนิยมมากสุดทั้งการทำเป็นไฟ Daylight, Cool White และ Warm Light เพื่อใช้งานทั่วไป)

ไฟ LED แตกต่างจากไฟทั่วไปอย่างไร

ความแตกต่างอันชัดเจนของไฟ LED กับไฟทั่วไปสามารถแบ่งออกได้ ดังนี้

  • ให้แสงสว่างดีกว่าไฟแบบดั้งเดิม และมีทิศทางในการส่องสว่างเพื่อช่วยการมองเห็นชัดเจน
  • ใช้กระแสไฟน้อยมาก เฉลี่ยแล้วอยู่ที่ 1-20 mA ซึ่งเมื่อเทียบกันแล้ว ไฟยุคเก่าจะกินไฟกว่าพอสมควร การใช้ไฟ LED จึงช่วยประหยัดค่าไฟได้ดีเยี่ยม
  •  อายุการใช้งานเฉลี่ย 50,000 – 100,000 ชม. ขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อม เช่น สภาพอากาศ อุณหภูมิ สภาพแวดล้อม วงจรขับกระแส ฯลฯ แต่โดยรวมแล้วไม่เสื่อมสภาพง่าย
  • ไม่มีการปล่อยรังสี UV ใด ๆ อันส่งผลกระทบโดยตรงต่อสายตา ผิวพรรณ และสุขภาพในระยะยาว รวมถึงยังไม่ปล่อยสารปรอทจึงเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
  • ทนต่อแรงสั่นสะเทือนและขาดยากมากเพราะเป็นอุปกรณ์ลักษณะ Solid State 

ข้อดีของการใช้ไฟ LED

1. ต้นทุนเฉลี่ยจากการใช้งานประหยัดมาก

หากเทียบราคาแล้วไฟ LED อาจดูสูงกว่าหลอดไส้หรือหลอดฟลูออเรสเซนต์ แต่เมื่อเทียบระยะเวลาการใช้ด้วยจำนวนชั่วโมงเฉลี่ยกับราคาที่ซื้อแล้ว ไฟประเภทนี้ถือว่าต้นทุนถูกกว่า แถมยังทนทาน ไม่เสียง่าย ทั้งตัววัสดุที่ผลิตรวมถึงระบบวงจรการกำเนิดแสงไฟ ขณะที่อัตราการแปลงพลังงานเป็นแสงสว่างของไฟ LED จะอยู่ที่ 95% แต่หลอดไส้ทำได้แค่ 10% ที่เหลือคือความร้อนซึ่งไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ ดังนั้นอัตราการสิ้นเปลืองพลังงานยังของไฟ LED จึงต่ำกว่า ช่วยประหยัดค่าไฟได้อย่างดี

2. เลือกระดับสีของหลอดไฟให้เหมาะกับการใช้งานได้

เมื่อใช้งานไฟ LED คุณสามารถเลือกระดับสีของไฟที่เหมาะกับการใช้งานในแต่ละพื้นที่ได้ เช่น สีขาวสว่างแบบธรรมชาติหากต้องการความสว่างมองเห็นชัดเจน หรือ สีขาวเย็น ช่วยสร้างความสบายตา เป็นต้น 

3. ติดตั้งง่ายมาก

ปัจจุบันผู้ขายได้มีการออกแบบไฟ LED สำเร็จรูป คือมีทั้งหลอดและตัวชุดราง จึงสามารถติดตั้งในบริเวณหลอดไฟเดิมได้เลย กรณีที่คุณใช้งานหลอดไส้แบบมีขั้วหมุนแค่เปลี่ยนเป็นหลอด LED แบบมีขั้วก็ทดแทนกันได้แล้ว ส่วนหลอดยาวฟลูออเรสเซนต์ที่มีรางเดิมอยู่แค่ถอดตัวหลอดเก่าออกและนำหลอด LED ไปใส่แทนก็เรียบร้อยไม่ยุ่งยากใด ๆ ทั้งสิ้น

4. ปราศจากรังสียูวีและสารปรอท

การสัมผัสกับรังสียูวีเป็นเวลานานมักส่งผลเสียต่อผิวภายนอก ร้ายแรงสุดอาจถึงขั้นเป็นมะเร็งผิวหนัง รวมถึงยังสร้างความระคายเคืองต่อดวงตา ขณะที่สารปรอทยังส่งผลเสียต่อร่างกายและสิ่งแวดล้อม ซึ่งไฟยุคเก่าทั้งหลอดไส้และหลอดฟลูออเรสเซนต์ยังคงปล่อยรังสีและสารเหล่านี้ออกมาแต่เมื่อเปลี่ยนเป็นไฟ LED ทุกอย่างจะหายไป เปิดใช้ได้ตลอด 24 ชม. แบบไม่ต้องกังวล

5. ตัวเลือกของไฟ LED มีเยอะมาก

อีกข้อที่ควรรู้ในการเปลี่ยนมาใช้งานไฟ LED หากคุณไปตามร้านขายหลอดไฟจะพบว่ามีประเภทสินค้าให้เลือกเยอะมากไม่ใช่แค่เรื่องของยี่ห้อ แต่เป็นทั้งค่าความสว่าง ประเภทหลอด ความยาว รูปร่าง คุณภาพ ไปจนถึงเรื่องราคา จึงต้องศึกษาข้อมูลให้ละเอียดเพื่อจะได้ซื้ออย่างถูกต้อง เหมาะสม ใช้งานมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็น ไฟหลืบหรือไฟเส้น LED ไฟ LED เพดาน ป้ายหรือจอ LED เป็นต้น

เตรียมตัวอย่างไรก่อนเปลี่ยนมาใช้ไฟ LED

1. การเปลี่ยนมาเป็นหลอดไฟ LED ไม่ยุ่งยากเลย

แม้ไม่ได้เป็นช่างไฟ ไม่มีทักษะเกี่ยวกับเรื่องไฟฟ้ามาก่อนก็อย่าพึ่งกังวลใจ เพราะจริง ๆ แล้วเพียงแค่คุณถอดหลอดไฟแบบเก่าออกให้หมดแล้วนำหลอด LED หมุนเสียบเข้าไปใช้งานแทนไม่ว่าจะเป็นหลอดตะเกียบ หลอดยาว ฯลฯ เท่านี้ก็เรียบร้อย หรือถ้าไม่มั่นใจจริง ๆ จะจ้างช่างไฟก็ไม่ได้แพงอะไรมากนักเสมือนการเปลี่ยนหลอดไฟใหม่ปกติ

2. หลอด LED ประหยัดไฟกว่าอย่างแท้จริง

การเตรียมพร้อมสำหรับเปลี่ยนมาใช้ไฟ LED ขอยืนยันว่าจะช่วยประหยัดเงินค่าไฟในกระเป๋าของทุกครัวเรือนได้อีกเยอะมาก จากผลการทดลองระบุชัดว่าไฟประเภทนี้ช่วยประหยัดไฟถึง 230 กิโลวัตต์ (ประมาณ 72% เมื่อเทียบกับหน่วยพลังงานไฟฟ้า ลดลงถึง 1.01 ล้านหน่วย / ปี) หากพื้นที่ไหนใช้ถึงตัวเลขที่ระบุไว้ จะประหยัดเงินได้กว่า 2.7 ล้านบาท / ปี ดังนั้นหากเทียบง่าย ๆ แม้ต้นทุนไฟ LED จะสูงกว่าไฟทั่วไป แต่ก็ช่วยคุณประหยัดเงินค่าไฟเฉลี่ยเกือบ 80% จากหลอดไฟปกติเลยทีเดียว

3. ใช้กับระบบโซล่าเซลล์ได้

หากบ้านไหนอยากประหยัดค่าไฟหรืออยู่ในพื้นที่ห่างไกล ไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึงเพียงพอจนต้องใช้โซล่าเซลล์ ไฟ LED ซึ่งใช้กำลังวัตต์น้อยกว่าหลอดไส้หรือหลอดฟลูออเรสเซนต์ก็สามารถเชื่อมเข้ากับระบบทำงานของแผงโซล่าเซลล์ได้ จึงช่วยให้แสงส่องสว่างในยามค่ำคืนโดยที่คุณแทบไม่ต้องเสียค่าไฟเลยด้วยซ้ำ

4. ไฟ LED หรี่แสง ปรับแสงได้

หลักการคือคุณสามารถติดตั้งอุปกรณ์หรี่ไฟกับระบบส่องสว่างภายในบ้านโดยใช้ไฟ LED เป็นตัวช่วยให้แสงสว่างได้ แต่ทั้งนี้เพื่อความมั่นใจแนะนำให้สอบถามกับผู้ขายว่ารุ่นไหน ยี่ห้อใดสามารถเชื่อมต่อเข้ากับระบบหรี่ไฟได้บ้าง

เทคนิคการเลือกไฟ LED ให้เหมาะกับการใช้งานแต่ละห้อง

เมื่อตัดสินใจเลือกใช้งานไฟ LED อีกสิ่งที่ต้องพิจารณานั่นคือความเหมาะสมกับห้องแต่ละประเภท ซึ่งปกติแล้วมักเริ่มจากการประเมินขนาดห้องแล้วจึงเลือกค่ากำลังไฟให้เพียงพอ ตัวอย่างเช่น 

  • ห้องขนาดเล็ก 15 – 20 ตร.ม. ค่าความสว่างควรอยู่ที่ 4-8 วัตต์
  • ห้องขนาดกลาง 25 – 35 ตร.ม. ค่าความสว่างควรอยู่ที่ 9-10 วัตต์
  • ห้องขนาดใหญ่ 40 ตร.ม. ขึ้นไป ค่าความสว่างสามารถเพิ่มได้มากกว่า 12 วัตต์

ทั้งนี้บางพื้นที่อาจมีขนาดห้องใหญ่แต่การใช้ไฟหลัก ๆ มีแค่เฉพาะบางจุด จึงอาจเลือกติดตั้งระดับค่าความสว่างน้อยกว่าความเป็นจริง แต่หากเลือกติดตั้งหลายดวงก็ไม่มีปัญหา

ลักษณะของแสงไฟหรือการติดตั้งไฟ LED ก็มีผลต่อการใช้งานอยู่พอสมควร เช่น ห้องนอนหรือห้องทำงานควรเลือกแสงไฟแบบขาวเย็นเพื่อให้รู้สึกสบายตา ห้องนั่งเล่น ห้องน้ำ ไฟหน้าบ้าน ไฟครัว ควรเลือกแสงแบบ Daylight หรือแสงแบบขาวธรรมชาติ จะช่วยเพิ่มความสว่างในการใช้งาน เป็นต้น อย่างไรก็ตามก็ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนด้วย

เคล็ดลับการเลือกซื้อไฟ LED จากผู้ผลิตหรือผู้จัดจำหน่าย

เมื่อคุณตัดสินใจได้แล้วว่าจะใช้งานไฟ LED อีกสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม นั่นคือ การเลือกซื้อไฟ LED จากผู้ผลิตหรือผู้จัดจำหน่ายที่มีความน่าเชื่อถือ เป็นแบรนด์ที่ทุกคนรู้จักกันดี หรือมีชื่อเสียง ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัย เช่น มีเครื่องหมาย มอก. เพื่อสร้างความมั่นใจว่าทุกครั้งที่ใช้งานจะไม่เกิดเหตุอันตรายใด ๆ ตามมา รวมถึงหากมีสัญลักษณ์ประหยัดพลังงานเบอร์ 5 ก็จะช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าได้อีกจำนวนหนึ่ง

นอกจากนี้ ผู้ผลิตไฟ LED บางเจ้าอาจมีการนำเอาเทคโนโลยีใหม่มาเพิ่มในฟังก์ชันการใช้งานของไฟ LED ด้วย เช่น มีรุ่นประหยัดไฟแบบพิเศษ มีการปรับระดับแสงสว่างหรือปรับโทนสีตามที่ต้องการ มีการสั่งงานด้วยเสียง สั่งงานผ่านมือถือ ซึ่งเราก็ควรที่จะศึกษาและสอบถามเกี่ยวกับฟังก์ชันการใช้งานกับทางผู้ผลิตหรือผู้จัดจำหน่ายให้ครบถ้วนที่สุดเพื่อไม่ให้พลาดฟังก์ชันสำคัญและเพื่อการใช้งานได้อย่างคุ้มค่า

ทั้งหมดนี้เป็นเนื้อหาที่น่าสนใจเกี่ยวกับไฟ LED สำหรับการใช้งานในทุกพื้นที่ไม่ว่าจะเป็นในบ้าน คอนโด ห้องน้ำ ห้องนอน ห้องประชุม ออฟฟิศ ฯลฯ ย้ำกันอีกครั้งว่าการเลือกซื้อกับผู้ผลิตหรือแบรนด์ที่มีชื่อเสียง ไว้วางใจได้ย่อมลดความเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายระหว่างใช้อย่างดี 

ซึ่งหากใครกำลังมองหาช่องทางการซื้อไฟ LED คุณภาพสูง ขอแนะนำ LUMENCRAFT Lighting ในฐานะ Lighting Thailand ตัวจริง เราคือผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไฟส่องสว่างที่พร้อมใช้งานทั้งในครัวเรือน การใช้งานเชิงธุรกิจ และภาคอุตสาหกรรม เรายังมีไฟสปอตไลท์ ไฟแทรคไลท์ ไฟเส้น ไฟประดับภายนอก และอื่น ๆ แบบครบวงจร จัดเต็มแบรนด์ชั้นนำให้เลือกสรรเพียบ ราคาคุ้มค่า กล้าการันตีคุณภาพจากผู้ใช้จริง 

Copyright © 2021 Brillianz. All right reserved.

Privacy Policy & Cookie Policy